การค้า การส่งออก

DITP แนะไทยศึกษาโครงการ Food Tech Valley ยูเออี

(DITP) เผยยูเออีเปิดตัวโครงการ Food Tech Valley แหล่งผลิตอาหารแห่งใหม่ ที่มีการนำเทคโนโลยีมาใช้ในการผลิตพืชผลทางการเกษตร เพื่อสร้างความมั่นคงในการผลิตอาหาร และลดการสูญเสียทรัพยากร แนะเกษตรกรรุ่นใหม่ ผู้ผลิต ผู้ส่งออก ศึกษาและนำเทคโนโลยีมาปรับใช้ในการผลิตพืชผลทางการเกษตร ชี้จะช่วยเพิ่มความเข้มแข็งให้กับไทย

นายสมเด็จ สุสมบูรณ์ อธิบดีกรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ (DITP) เปิดเผยว่า กรมฯ ได้สั่งการให้ผู้อำนวยการสำนักงานส่งเสริมการค้าในต่างประเทศ ที่ประจำอยู่ในประเทศต่างๆ หาโอกาสส่งออกให้กับผู้ประกอบการไทยตามนโยบายนายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ และได้รับรายงานจากสำนักงานส่งเสริมการค้าในต่างประเทศ ณ เมืองดูไบ ถึงการสร้างเขตเศรษฐกิจแห่งใหม่ (Economic Zone) ของสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ (ยูเออี) เพื่อเป็นศูนย์กลางการผลิตอาหารที่สะอาดและผลิตภัณฑ์ทางการเกษตร และยังทําหน้าที่เป็นศูนย์บ่มเพาะสําหรับนักวิจัย ผู้ประกอบการสตาร์ทอัพ และผู้เชี่ยวชาญในอุตสาหกรรมที่เกี่ยวข้องในการพัฒนาระบบที่มีศักยภาพในการวางแผนอนาคตของอุตสาหกรรมอาหาร

​​โดยโครงการนี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อสร้างเมืองสมัยใหม่แบบบูรณาการ จะมีการผลิตพืชผลมากกว่า 300 ชนิด โดยใช้เทคนิคการทําฟาร์มที่ทันสมัย และจะเป็นศูนย์กลางสําหรับอาหารและผลิตภัณฑ์ทางการเกษตรที่สะอาดในอนาคต มีการสนับสนุนการใช้เทคโนโลยีและการวิจัยสำหรับนําไปใช้ในการแปรรูปอาหารและการเกษตร การใช้เทคนิคทําฟาร์มสมัยใหม่ เช่น การทําฟาร์มในแนวตั้ง (Vertical Farming) การเพาะเลี้ยงพืชและสัตว์ในน้ำ (Aquaculture) และการปลูกพืชไร้ดิน (Hydroponics) เพื่อสร้างความมั่นคงในการผลิตอาหารพืชผักสด และลดการสูญเสียทรัพยากร โดยโครงการ เปิดตัวเมื่อวันที่ 1 พฤษภาคม 2564 ที่ผ่านมา และเฟสแรกของโครงการเรียกว่า Food Tech Valley เพื่อเป็นแหล่งผลิตอาหารให้ยูเออีได้เพิ่มขึ้นอีก 3 เท่า ซึ่งเกษตรกรรุ่นใหม่ ผู้ผลิต ผู้ส่งออกของไทย ควรจะศึกษา และพิจารณานำเทคโนโลยีมาปรับใช้ในกระบวนการผลิตทางการเกษตร ก็จะช่วยลดต้นทุน และเพิ่มศักยภาพการผลิตได้เพิ่มขึ้น

นายปณต บุณยะโหตระ ผู้อำนวยการสำนักงานส่งเสริมการค้าในต่างประเทศ ณ เมืองดูไบ กล่าวว่า ไทยได้มีการใช้เทคโนโลยีที่ทันสมัยมาช่วยในภาคการเกษตร เช่น การใช้ Blockchain Agriculture ช่วยบริหารจัดการพื้นที่ทางการเกษตรและพัฒนาระบบชลประทานให้มีประสิทธิภาพสูงสุด การใช้เทคโนโลยีอากาศยานไร้คนขับ (โดรน) บินสำรวจพื้นที่ เพื่อจัดเก็บข้อมูลดิน ความชื้นในอากาศ และข้อมูลแร่ธาตุต่างๆ เพื่อนำมาวิเคราะห์ด้วย Big Data Analytics และปัญญาประดิษฐ์ (AI) ซึ่งสอดคล้องกับแนวทางการพัฒนาด้านการเกษตรของยูเออี หากไทยและยูเออีสามารถร่วมมือกันในด้านการพัฒนาการเกษตรและความมั่นคงทางอาหารได้ ก็จะทำให้ทั้งสองประเทศสามารถบรรลุเป้าหมายร่วมกันในการยกระดับด้านคุณภาพและปริมาณการผลิต ตลอดจนการเพิ่มมูลค่าให้กับสินค้าการเกษตร ซึ่งสอดคล้องกับนโยบายของรัฐบาลในการส่งเสริมและพัฒนาเกษตรกรไทยให้ก้าวไปสู่การทำการเกษตรแบบยั่งยืน

สำหรับโครงการ Food Tech Valley ประกอบด้วย 4 คลัสเตอร์สำคัญ ได้แก่

1.กลุ่มเทคโนโลยีการเกษตรและวิศวกรรม จะมีฟาร์มแนวตั้งที่จะใช้เทคโนโลยีอาหารล่าสุดในการปลูกพืชที่สําคัญตลอดทั้งปี และยังมุ่งเน้นการพัฒนาโครงการนวัตกรรมด้านชีววิศวกรรม (Bioengineering) ระบบควบคุมอัตโนมัติที่สามารถเริ่มต้นการทำงานได้เองผ่านการรันโปรแกรมที่วางเอาไว้ เพื่อช่วยในการควบคุม สั่งงาน หรือรับคำสั่งงานต่างๆ เทคโนโลยีหุ่นยนต์ (Robotics) ปัญญาประดิษฐ์ (AI) และสิ่งสนับสนุนอื่นเพื่อเสริมสร้างความสามารถในระบบนิเวศอาหาร

​​2. ศูนย์กลางในการพัฒนานวัตกรรมและเทคโนโลยีธุรกิจเกษตรไว้ที่จุดเดียว จะช่วยยกระดับความสามารถผู้ประกอบการในการแข่งขันทางธุรกิจ ทําหน้าที่เป็นศูนย์บ่มเพาะผู้ประกอบการสตาร์ทอัพและผู้ประกอบการ มีโรงงานเฉพาะทางผลิตอาหารชนิดใหม่สำหรับร้านอาหาร และการเพิ่มขีดความสามารถและนวัตกรรม การบริการธุรกิจร้านอาหารแบบยั่งยืนและพอเพียง ช่วยลดการสูญเสียและการเหลือทิ้งทรัพยากร

​​3.ศูนย์ด้านการวิจัยและพัฒนา (R&D) ระดับโลก เพื่อฝึกอบรมผู้เชี่ยวชาญด้านอาหาร และสนับสนุนสถานประกอบการด้านอาหาร จัดหาสิ่งอํานวยความสะดวกโดยการใช้หุ่นยนต์เกษตรเพื่อเพิ่มผลผลิตและพืชทนแล้ง รวมทั้งการประยุกต์การเพาะเลี้ยงสาหร่ายเพื่อใช้เป็นวัตถุดิบผลิตเชื้อเพลิงชีวภาพและผลิตโปรตีนทางเลือก และศูนย์ R&D จะศึกษาการใช้ AI ในการตรวจสอบ วิเคราะห์ และจัดการพืชผลทางการเกษตร และตรวจจับผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมและการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ซึ่งเป็นความพยายามในการวิจัยความมั่นคงด้านอาหารโดยการทำการเกษตรจากการกลั่นน้ำทะเล การนำพลังงานแสงอาทิตย์มาใช้ทำการเกษตร โภชนพันธุศาสตร์ หรือ Nutritional Genomics เพื่อศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างโภชนาการ สมรรถภาพร่างกายและพันธุกรรม ทำให้ทราบถึงความต้องการสารอาหารที่จำเป็น เป็นต้น

​​4.ศูนย์กลางโลจิสติกส์อัจฉริยะ จะมีระบบจัดเก็บอาหารที่ให้บริการจัดเก็บแบบอัตโนมัติ ควบคุมด้วยเทคโนโลยีบล็อกเชน (Blockchain) เข้ามาช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการจัดเก็บอาหาร และใช้เทคโนโลยี Big Data มาใช้เพื่อเสริมประสิทธิภาพการขนส่ง ในการวางแผนดำเนินการและควบคุมประสิทธิภาพและประสิทธิผล การจัดเก็บวัตถุดิบ สินค้าคงคลังในกระบวนการ และสารสนเทศที่เกี่ยวข้องจากจุดเริ่มต้นไปยังจุดที่มีการใช้งาน โดยมีเป้าหมายเพื่อให้สอดคล้องกับความต้องการของผู้บริโภค โดยเฉพาะผู้บริโภคสามารถติดตามคุณภาพอาหารแหล่งกําเนิดอาหารและส่วนประกอบ การเก็บรักษา การส่งมอบเพื่อให้แน่ใจว่าเกิดประสิทธิภาพของห่วงโซ่อุปทานอาหาร

Related Articles

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

Back to top button